วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558


1. กฎหมายเบื้องต้น

กฎหมาย หมายถึง คำสิ่งหรือข้อบังคับของรัฐ ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคลซึ่งอยู่ในรัฐหรือในประเทศของตน หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ประพฤติปฏิบัติตาม ก็จะมีความผิดและถูก
หรือได้รับผลเสียหายนั้นด้วย และได้มีผู้ให้ความหมายของกฎหมายไว้ดังนี้
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย "กฎหมาย คือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครอง         ว่าการแผ่นดินต่อราษฏรทั้งหลายเมื่อไม่ทำตาม ธรรมดาต้องลงโทษ"

1.1 ลักษณะของกฎหมายเป็นข้อบังคับแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ
1. บังคับไม่ให้กระทำ เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามทำร้ายร่างกาย ห้ามเสพสิ่งเสพย์ติด
2. บังคับให้กระทำ เช่น ประชาชนชาวไทยเมื่อมีอายุ 15 ปี ต้องมีบัตรประจำตัวประชาขน 

ผู้มีรายได้ต้องเสียภาษีอากร เป็นต้น
1.2 บทลงโทษแก่ผู้ฝ่าฝืน ได้แก่

1. ความผิดทางอาญากำหนดโทษไว้ 5 สถาน คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับและริบทรัพย์สิน
2. วิธีการเพื่อความปลอดภัย เป็นมาตรการเพื่อให้สังคมปลอดภัยจากการกระทำของผู้กระทำผิดที่ติดเป็นนิสัยไม่มีความเข็ดหลาบ ตามประมวลกฎหมายอาญากำหนดไว้ 5 ประการ คือ การกักกัน ห้ามเข้าเขตกำหนด เรียกประกันทัณฑ์บน คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล และห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง
3. กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ กฎหมายที่บัญญัติออกมาต้องมาจากรัฐ
4. พนักงานของรัฐเป็นผู้บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย หมายความว่า เมื่อมีการกระทำผิดที่ฝ่าฝืนกฎหมาย จะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิด ผู้เสียหายจะแก้แค้นหรือลงโทษกันเองไม่ได้บุคคลเหล่านี้ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้พิพากษา เป็นต้น

2. ลำดับขั้นกฎหมาย


- กฎหมายรัฐธรรมนูญ
- พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)
- ประมวลกฎหมาย
- พระราชกำหนด (พ.ร.ก.)
- พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)

        - กฎกระทรวง

- ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่ง
- กฎหมายที่ออกโดยองค์กรปกครองตนเอง

3.ที่มาของกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ

แต่เดิม กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศมี 6 ฉบับ ได้แก่

กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ 
กฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ 
กฎหมายการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ 
กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน

3.1 พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544
พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 นับเป็นกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศฉบับแรกที่ใช้บังคับกับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท เช่น การทำสัญญา กฎหมายกำหนดว่าต้องมีการลงลายมือชื่อคู่สัญญาจึงจะมีผลสมบูรณ์และใช้บังคับได้ตามกฎหมาย กฎหมายทั้งสองส่วนจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด 

 ตัวอย่างการกระทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

กรมการค้าต่างประเทศนำระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีดีไอ (Electronic Data Interchange -- EDI) เป็นการส่งหรือรับข้อความโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้มาตรฐานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า มาใช้สำหรับการให้บริการออกใบอนุญาตและหนังสือรับรองการส่งออกและนำเข้าสินค้าอื่นๆ 
การซื้อขายสินค้าบนเว็บไซต์ มีลักษณะที่ร้านค้าบนอินเทอร์เน็ตเสนอขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง โดยเว็บไซต์จะระบุราคาสินค้าและค่าขนส่งอย่างชัดเจน มีการรับคำสั่งซื้อกระทำโดยระบบอัตโนมัติผ่านเว็บไซต์ และมีการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต หรืออาจเป็นการชำระเงินแบบดั้งเดิมคือหักจากบัญชีธนาคารโดยผู้ซื้อต้องไปดำเนินการโอนเงินที่ธนาคารซึ่งตนเปิดบัญชีไว้เพื่อเข้าสู่บัญชีของผู้ขายอีกทีหนึ่ง
3.2 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  พ.ศ. 2550 
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เป็นกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศที่มุ่งควบคุมการกระทำความผิดต่อระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์ เนื่องจากในอดีตที่ ผ่านมากฎหมายอาญาที่บังคับใช้อยู่ในขณะนั้นไม่สามารถรองรับหรือครอบคลุมถึงการกระทำความผิดรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เนื่องจากการกระทำความผิดที่อาศัยคอมพิวเตอร์ในการกระทำความผิดนั้นมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น การบุกรุกทางคอมพิวเตอร์ หรือแฮกกิง (hacking) ซึ่งเป็นการเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น โดยที่ผู้กระทำผิดและเครื่องคอมพิวเตอร์อาจอยู่คนละแห่งกัน
3.3 กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 
แม้ว่ากฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทยมีด้วยกันหลายฉบับ แต่ไม่อาจครอบคลุมข้อมูลส่วนบุคคลได้ทุกประเภท เนื่องจากกฎหมายเหล่านี้มีลักษณะเป็นการให้ความคุ้มครองแก่ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการเฉพาะเรื่อง เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในการครอบครองของสถาบันการเงินอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534
3.4 กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
การโอนเงินโดยอาศัยระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของไทยได้เริ่มนำมาใช้เป็นระยะเวลานานแล้ว ตั้งแต่ระบบการโอนเงินผ่านเครื่องเบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ หรือที่เรียกทั่วไปว่า เครื่องเอทีเอ็ม และมีวิวัฒนาการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยทั่วไปการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์จะมีบทบาทเป็นอย่างมากในการทำธุรกรรมทางการค้า เช่น การใช้บัตรเครดิต (credit card) และบัตรเดบิต (debit card) จึงมีความจำเป็นในการออกกฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายกับการโอนเงินรายใหญ่ รายย่อย และเงินอิเล็กทรอนิกส์ 
3.5 กฎหมายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ 
กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาโครงสร้างสารสนเทศ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ พ.ศ… เป็นกฎหมายที่ยกร่างขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา 78 ในรัฐธรรมนูญ โดยมีแนวคิดหลักเพื่อให้เกิดการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาโครงสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งได้แก่ โครงข่ายโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ สารสนเทศทรัพยากรมนุษย์ และโครงสร้างอื่นๆ อันเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาสังคมและชุมชนโดยอาศัยกลไกของรัฐ และกําหนดมาตรการในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาให้เข้าถึงได้โดยง่าย สะดวก และต้องไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการรวบรวมและประมวลสารสนเทศให้มีประสิทธิผล

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศตามกฎหมายนี้จึงแบ่งออกได้ 4 ประเภท คือ 

1) การพัฒนาโครงข่ายโทรคมนาคม 
2) การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ 
3) การพัฒนาสารสนเทศ 
4) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 

4. กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา


เนื่องด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันทำให้เกิดการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (intellectual property) กันมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้เกิดช่องทางใหม่ในการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นทรัพย์สินทางปัญหาได้ง่าย และนำไปสู่การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญารูปแบบต่างๆ ได้แก่ การละเมิดลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า และสิทธิบัตร 
ลิขสิทธิ์ เป็นการให้สิทธิแก่ผู้ผลิต หรือผู้ผลิต หรือผู้ประดิษฐ์แต่เพียงผู้เดียว ที่จะสามารถทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข หรือจำหน่ายจ่ายแจกสิ่งผลงานที่ตนสร้างขึ้น 

5. จริยธรรม กฎหมายและจรรยาบรรณ


จริยธรรมกับกฎหมายเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่คนในสังคมสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ทั้งจริยธรรมและกฎหมายจึงมีบทบาทเสริมซึ่งกันและกัน และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด แต่เมื่อเปรียบเทียบกัน จริยธรรมแตกต่างจากกฎหมายหลายประการ นอกจากจริยธรรมกับกฎหมายเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดแล้ว จริยธรรมยังเป็นที่มาของสิ่งที่เรียกว่า จรรยาบรรณ ซึ่งเป็นหลักประพฤติปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ วิชาชีพหลายสาขาต่างก็มีจรรยาบรรณเป็นของตนเอง เพื่อควบคุมความประพฤติและเป็นแนวปฏิบัติสำหรับผู้ที่ประกอบวิชาชีพนั้นๆ เช่น แพทย์ วิศวกร ทนายความ

6. หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์


ผู้ให้บริการมีหน้าที่ในการจัดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่ง กำหนดว่าผู้ให้บริการมีหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ไว้ ไม่น้อยว่า 90 วัน นับตั้งแต่ที่ข้อมูลนั้นได้เข้าสู่ระบบ เพื่อเป็นพยานหลักฐานในการ สืบสวนสอบสวน และติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษ

7. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 


พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่    18  กรกฎาคม 2550  เรามาทำความเข้าใจว่าทำอย่างไรถึงจะไม่เสี่ยงกับ ความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ควรทราบ
มาตรา 6
ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา 7
ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการ ป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน40,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 8
ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของ ผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 9
ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน ซึ่งของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินข้อมูลคอมพิวเตอร์ห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
มาตรา 10
ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 
มาตรา 11
ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคล อื่นโดยปกปิด หรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของ บุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน    100,000  บาท 
มาตรา 12

           ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 

(1) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันที หรือในภายหลัง และไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีและปรับไม่เกิน 200,000 บาท 
มาตรา 13
ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไป ใช้เป็นเครื่องมือ ในการกระทำความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 หรือมาตรา 11 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

มาตรา 14  ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
มาตรา 15
ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มี การกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตาม มาตรา 14 
มาตรา 16
ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 17 
 ผู้ใดกระทำความผิดตามพ.ร.บ.นี้ นอกราชอาณาจักรและ 

(1) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น หรือผู้เสีย                           หายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรือ 
(2) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทย หรือคนไทยเป็นผู้เสียหาย และผู้เสีย                        หายได้ร้องขอให้ลงโทษ จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร